วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2561
แนวโน้ม
แนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร
เมื่อกล่าวถึงแนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร
มีประเด็นสำคัญเกี่ยวข้อง 2 ประเด็นคือ
ข้อมูลที่นำมาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร กับการวิจัยทางการศึกษา โดยจะพบว่า
ในระยะเวลาประมาณ 10
ปีและจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องสรุปดังนี้
รายงานการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ 1940 และ 1950 มุ่งศึกษา ตัวแปรทำนานจากคุณสมบัติของครู มีความเชื่อว่าครูที่มีคุณสมบัติมีแนวโน้มที่จะสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
1) เสียง
2) รูปร่างหน้าตา 3) ความมั่นคงในอารมณ์ 4) ความน่าเชื่อถือ 5) ความอบอุ่น 6) ความกระตือรือร้น
ต่อมาผลการศึกษาวิจัยความมีประสิทธิภาพของครูในช่วงทศวรรษ 1960
และ 1970 ได้ข้อสรุปและเสนอแนะในการพัฒนาวิชาชีพด้วย การนิเทศแบบคลินิก
เทคนิควิธีสังเกตการณ์สอนชั้นเรียน เป็นต้น
ต่อมาในทศวรรษ 1980 เมเดอลีน ฮันเตอร์ และคณะมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอใช้หลักทฤษฎีเป็นฐานในการเรียนการสอนสรุปได้ดังนี้
1) การสอนมีรากฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม
2) การอนุมานจากความคิดในด้านการเรียนรู้ เช่น แรงจูงใจ ความทรงจำ
การถ่ายโอนความรู้ เป็นต้น
ผลการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ 1980 และ
1990 การเปลี่ยนแปลงทัศนะการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม เป็นการเรียนรู้ด้วยปัญญา
สถานศึกษาใดที่มุ่งมั่นพัฒนาในด้านการประเมินที่มีประสิทธิภาพและการพัฒนาวิชาชีพการสอนจึงต้องเริ่มด้วยการกำหนดมาตรฐานการสอนซึ่งสะท้อนสิ่งที่ครูควรรู้
ในประเทศไทยหน่วยงานหรือองค์กรวิชาชีพครูที่เรียกว่าคุรุสภาได้เสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร
ครู และบุคลากรทางการศึกษา
เพื่อให้มีความรู้สมรรถนะความสามารถในการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ
แนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตรอาจพิจารณาได้จากผลการศึกษาวิจัย
และข้อมูลพื้นฐานด้านต่างๆ ที่นำมาใช้การพัฒนาหลักสูตร
แนวโน้มของหลักสูตร
ออนสไตน์ได้สรุปไว้ว่าแนวโน้มของหลักสูตรมีดังนี้
1.การศึกษาในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์ ความเจริญก้าวหน้าของวิดิทัศน์สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนได้
วีดิโอเทป คาสเสท และดิสค์สามารถนำมาสอนได้ทั้งในห้องเรียน ห้องสมุด
ศูนย์การเรียนรู้และที่บ้านของนักเรียน
วีดิโอทัศน์มีความสะดวกที่นำมาเรียนได้ตลอดเวลา
ซึ่งจะช่วยไม่ให้พลาดบทเรียนไปได้
จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสามารถที่จะพิมพ์วิดิทัศน์หรือภาพจากจอในรูปของภาพถ่าย
ตาราง กราฟ หรือ รูปภาพในแบบต่างๆลงในกระดาษสำหรับศึกษาต่อได้
ความรู้ในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์นี้ยังสามารถจัดเก็บไว้ในสถานที่ที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้โดยผ่านระบบเครือข่าย ใครๆก็สามารถเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศและสามารถใช้ประโยชน์ได้
2.การรู้ใช้เทคโนโลยี โรงเรียนปัจจุบันเห็นความสำคัญในวิวัฒนาการใช้เทคโนโลยี
จึงได้ให้การศึกษากับบุคลากรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อีเล็กทรอนิกส์
เลเซอร์และหุ่นยนต์ การเรียนรู้คอมพิวเตอร์
เป็นทักษะพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากทักษะการอ่านออกเขียนได้
คิดเลขเป็นหรือที่รู้จักกันว่า 3Rs
3.การเรียนรู้ตลอดชีวิต แนวโน้มการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นความจำเป็นกับสังคมสมัยใหม่อันเป็นผลสืบเนื่องจากความรู้ที่มีมากมาย
การเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างรวดเร็ว
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่มีผลต่อประชาชนในการประกอบอาชีพที่ปรับเปลี่ยนไปสู่การพัฒนาใหม่ที่มีผลต่อเป้าหมายของบุคคลและสังคม
การศึกษาต่อเนื่องตลอดชีวิตไม่ใช่เป็นเพียงการศึกษาในโรงเรียนเท่านั้น
การศึกษาผู้ใหญ่จึงถูกคาดหวังเพิ่มขึ้นในปีคริสต์ศตวรรษที่ 1990
4.การศึกษานานาชาติ สังคมอเมริกันถือว่าได้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาได้มาจากประเทศต่างๆ
และได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ หมู่บ้านโลก(global village) กล่าวถึงมาตรฐานของการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจของชาติ(อเมริกา)มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่อื่นๆของโลก
5.สิ่งแวดล้อมศึกษา ผลจากปัญหาต่างๆนำไปสู่ความต้องการความรู้และโปรแกรมใหม่ในสาขาวิชานิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมศึกษา
ถึงแม้ว่าเดิมที่มีวิชาที่เกี่ยวข้องคือธรณีวิทยา ชีววิทยา ภูมิศาสตร์
แต่ความต้องการความรู้ที่มีความหมายและมีความสัมพันธ์กับการแก้ปัญหาชีวิตและความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ในยามคับขันหรือช่วงเวลาเร่งด่วน
6.การศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์ การใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ
ได้แก่โรงไฟฟ้า การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ การบำบัดด้วยการฉายรังสี
ความรู้เรื่องหลังงานนิวเคลียร์มีความจำเป็นว่าพลังงานดังกล่าวนี้มีผลกระทบต่ออากาศ
อาหารอย่างไรกรณีที่มีการรั่วไหลจะมีผลกระทบในขอบเขตห่างไกลเพียงใด
และความเข็มข้นของรังสีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ที่อยู่ใกล้และไกลออกไปนับพันไมล์
ดังนั้นหลักสูตรที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์ถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรโลกศึกษา
7.สุขศึกษาและการดูแลสุขภาพกาย แนวโน้มเกี่ยวกับสุขภาพของประชากรชาวอเมริกันจะต้องได้รับความรู้จากหลักสูตรใหม่ๆ
ตัวอย่างที่จัดเจนคือ นักการศึกษานำประเด็นเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบกพร่องที่รู้กันในชื่อว่า
AIDS นำมาให้ความรู้กับผู้เรียน
บรรจุเป็นเรื่องหนึ่งในหลักสูตร
8.การศึกษาต่างด้าว สังคมอเมริกันหลังสงครามโลกครั้งที่สองมีชาวต่างด้าวเข้ามาอาศัยอยู่จำนวนมาก
นัยสำคัญของคนต่างด้าวจำนวนมาก มาจากครอบครัวที่เรียกว่า ยากจน
เด็กที่มาจากประเทศต่างๆจะถูกตีตราว่า ด้อยความสามารถในการเรียนรู้
เพื่อช่วยให้คนต่างด้าวที่เข้ามาใหม่นักการศึกษาให้คำแนะนำว่าโรงเรียนควรได้จัดหลักสูตรสองภาษา
หลักสูตรพหุวัฒนธรรมจะช่วยให้เด็กต่างด้าวได้เรียนรู้และอยู่ในสังคมใหม่ได้ดียิ่งขึ้น
9.ภูมิสาสตร์ย้อนกลับ การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นผลมาจากการตีพิมพ์หนังสือชื่อ
Nation at Risk ในปี ค.ศ.1983
เด็กอเมริกันจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกรอบตัว รวมถึงภูมิศาสตร์พื้นฐาน
มีการทบทวนสาระสำคัญทางภูมศาสตร์ อาทิเรื่อง back to basic, การเรียนรู้วัฒนธรรม นิเวศวิทยาศึกษา และโลกศึกษา
เรื่องราวต่างๆที่ศึกษาเล่าเรียนจะเป็นพลังขับเคลื่อนให้รู้จักบทบาทของตนเองเพิ่มยิ่งขึ้น
10.การศึกษาช่วงเกรดกลาง ผู้เรียนที่อายุระหว่าง
10-15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่เปลี่ยนแปลงความเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างรวดเร็ว
การศึกษาที่จัดให้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ ก่อนจะเป็นวัยรุ่น และวัยรุ่นตอนต้น
เมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนมัธยม
โรงเรียนเกรดกลางมุ่งให้ความสำคัญกับการเรียนรู้สังคมหรือสังคมประกิต
ไม่เน้นวิชาการ แต่ให้ความสำคัญกับ intramural sport แต่ไม่เน้น
interscholastic sport ถึงว่าโรงเรียนเกรดกลางจะมีอยู่โดยทั่วไป
แต่หลักสูตรใหม่ที่เหมาะสมกับกลุ่มเด็กดังกล่าวนี้จำเป็นต้องพัฒนาขึ้น
การพัฒนาหลักครูผู้สอนจะต้องเปลี่ยนโปรแกรมการพัฒนาครูจะต้องมีความแตกต่างจากครูประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
ในอนาคตสถาบันการผลิตครูจะต้องมุ่งพัฒนาความรู้ ทักษะที่จำเป็นสำหรับการสอนโรงเรียนเกรดกลาง
11.การศึกษาสำคัญผู้สูงอายุ สังคมปัจจุบันจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นักการศึกษามีความเชื่อว่าโรงเรียนจะต้องสอนให้ผู้เรียนเข้าใจปัญหาและความคาดหวังของผู้สูงอายุ
และช่วยให้มีความรักต่อผู้สูงอายุ(ทั้งพ่อแม่และปู่ย่าตายาย)ในโรงเรียนจะต้องประสมประสานผู้สูงอายุทั้งผู้ที่มีความประสงค์จะเกษียณอายุและผู้เกษียณอายุจากงานประจำมาช่วยงานในโรงเรียนในรูปแบบ
อาสาสมัคร ผู้ช่วยสอนและแหล่งทรัพยากรบุคคลในการเรียนรู้
12.ธุรกิจการศึกษา โรงเรียนหรือสถานศึกษารูปแบบต่างๆเกิดขึ้นมากมาย
ทั้งในรูปแบบของเอกชนและหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเฉพาะกิจ อาทิ สถานเลี้ยงเด็ก
ศูนย์รับเลี้ยงเด็กช่วงกลางวันและช่วงหลังเลิกเรียน ศูนย์กีฬาและโคชเอกชน
ศูนย์ติวเตอร์แฟรนไชส์ วิทยาลัยเอกชนเพื่อให้บริการแนะแนว (ในการเลือกมหาวิทยาลัย)
สถาบันติวเตอร์สอบ SAT และการทดสอบเพื่อขอรับในรับรองประกอบวิชาชีพ
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นการศึกษาเข้าสู่ตลาดการค้าที่มีการเก็บค่าธรรมเนียมในการศึกษาจากผู้เรียนโดยตรง
13.การศึกษาเพื่ออนาคต จากงานเขียนของทอฟเลอร์
ที่กล่าวถึงอนาคตว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่สามารถที่กำหนดขอบข่ายของการเปลี่ยนแปลงได้เลยนั้น
จึงนำมาเป็นหลักการของความมุ่งหมายการศึกษา
ที่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนเพื่อที่ผู้เรียนแต่ละคนสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่อง
แนวทางหนึ่งในการเตรียมตัวผู้เรียนในอนาคตก็คือ ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โปรแกรมหรือรายวิชาใหม่ จะถูกเรียกว่า การศึกษาเล่าเรียนเพื่ออนาคต จะเริ่มในระดับอุดมศึกษา และมัธยมศึกษาในโอกาสต่อไป สาระสำคัญของการศึกษาดังกล่าวนี้พิจารณาจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสถานการณ์ในสังคมโดยไม่มีการแบ่งแยก แต่เป็นทั้งสององค์ประกอบที่ช่วยในการตัดใจในอนาคต โดยทั่วไปการมองอนาคตไม่ใช่ภารกิจที่เล็กๆ แต่เป็นการนำเสนออนาคตที่มีจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยปกติทั่วไปที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และนำไปใช้โดยปรับให้เหมาะสมกับตนเองในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปงอย่างรวดเร็ว
หลักสูตรต้องวางแผนเพื่อการบรรลุทักษะในศตวรรษที่ 21
ในปี 1983 สมาคมการพัฒนาหลักสูตรและการนิเทศ (Association for Supervision and curriculum development : ASCD)ได้เผยแพร่บทความวิจัย ของ Benjamin I. Troutman and Robert D.Palombo เรื่อง Identifying Futures Trends in Curriculum Planning โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 36 คนจากโรงเรียน Virginia Beach Public Schools ข้อมูลที่ได้สรุปได้ว่า ในอนาคตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเป็นตัวชี้การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร อันเป็นผลจาก การขยายความรู้ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และความรู้มีความเป็นศาสตร์เฉพาะการเพิ่มขึ้น ซึ่งมีการศึกษาผลต่อหลักสูตรใน 3 ประเด็น คือ
1.
ความเป็นความรู้ที่ร่วมกันของวิทยาการที่เจริญก้าวหน้า
2 .ความสมดุลระหว่างความยากลำบากในการได้มาของข้อเท็จจริงกับการพัฒนาทักษะกระบวนการ 3. เอกสารความรู้ที่ใช้เป็นแหล่งความรู้ในหลักสูตร จากขอบข่ายดังกล่าวนี้กลุ่มตัวอย่างจากโรงเรียน Virginia Beach Public Schools ให้ความเห็นว่าแนวโน้มในอนาคตที่มีผลต่อการวางแผนหลักสูตรมี 15 ประเด็นคือ 1.ทักษะพื้นฐานทางวิชาการ (Basic Academic Skills) จะต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับทักษะการสื่อสาร คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะหลักสูตรอาชีวศึกษา
2
คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ (Computes
and Other Information Technologies) คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆมีรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วอุปมาดั่งเช่นเป็นพาหนะขับเคลื่อนการศึกษาสำหรับผู้เรียนทุกคน
การพัฒนาแผนสำหรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในระบบโรงเรียน Virginia
Beach Public Schools ตั้งแต่อนุบาลถึงเกรดสิบสอง
3 ความยืดหยุ่นของหลักสูตร (Curriculum
Flexibility)ให้โอกาสอันยิ่งใหญ่ที่มั่งคั่งสมบูรณ์และรวดเร็วจากหลักสูตร
สำหรับอนุบาลถึงเกรดสิบสอง
4 การทบทวนหลักสูตร (Curriculum
Revision) พัฒนาแผนปฏิบัติการที่แน่ใจว่าสามารถดำเนินการต่อไปได้
หลักสูตรได้รับการทบทวนและมีการประเมินอย่างเป็นระบบ
5 ความเป็นประชาธิปไตย (Democratic
Ideals)ทำความเข้าใจและให้ความสำคัญกับกระบวนการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
6 โปรแกรมสำหรับเด็กเล็ก (Early
Childhood Programs) ขยายโปรแกรมสำหรับเด็กเล็ก
(เด็กก่อนอนุบาล)ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้
7 การมองอนาคต (Futures
Perspective) การรวมขอบเขตสาระเป็นหลักสูตรเดียวโดยสิ่งต่างๆเหล่านั้นเป็นประเด็นสะท้อนและอธิบายประเด็นร่วมสมัย
แนวโน้มอนาคต
และความสัมพันธ์ระหว่างปัจจุบันกับเหตุการณ์ที่ผ่านไปและทางเลือกในอนาคต
8 สัมพันธภาพระดับสากล (Global
Interrelationships)ให้ความสำคัญกับมุมมองของความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจ
และวัฒนธรรม-ชาติพันธุ์ของมนุษย์ที่หลักสูตรต้องมีความหลากหลาย
9 การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong
Learning) ขยายโอกาสสำหรับสมาชิกของชุมชนในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียนที่สนใจเรียนรู้ในรูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
10 สื่อมวลชน (Mass
Media) ให้ความสำคัญกับทักษะในการวิเคราะห์วิจารณ์ การฟัง และ
การดูที่เกี่ยวข้องกับการแปลความหมายจากสื่อ
11 การเติมเต็มบุคลิกภาพ (Personal
Fulfillment) โรงเรียนเป็นสถานที่อันยิ่งใหญ่ที่จะสร้างความคิดต่อตนเองเชิงบวก
และพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
12 การประยุกต์กระบวนการ (Process
Approach)หลักสูตรมุ่งที่การแก้ปัญหา การตัดสินใจ
ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะการนำไปใช้ การวิเคราะห์
สังเคราะห์และประเมินค่า
13 การพัฒนาทีมงาน (Staff
Development ) เพิ่มโอกาสให้พัฒนาทีมงาน
โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี
14 ใช้ชุมชน (Use
of Community) เพิ่มบทบาทของผู้ปกครองและแหล่งเรียนรู้ในชุมชนในการจัดโปรแกรมการศึกษาเชื่อมโยงการเรียนรู้ในชั้นเรียนกับประสบการณ์ในชุมชน
15 การอาชีวะและอาชีพศึกษา (Vocational
and Career Education) แน่ใจว่าการศึกษาอาชีวและอาชีพสะท้อนการเปลี่ยนแปลงมโนทัศน์ในการทำงานและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เรียน
สรุป
ปัญหาและแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรพิจารณาได้จากข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรที่ถูกรวบรวมวิเคราะห์เชื่อมโยงเป็นชุดของจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ใช้ในการวางแผนพัฒนาหลักสูตรและนำไปออกแบบหลักสูตร โดยการอธิบายเหตุผลการได้มาของสาระความรู้ในหลักสูตร ที่มีเหตุผลประอบหลักวิชาโดยอาศัยทฤษฎีการเรียนรู้ต่างๆและนักพัฒนาหลักสูตรนำมากำหนดเป้าหมายการพัฒนาผู้เรียน กำหนดสาระเนื้อหาและผลการเรียนรู้ ข้อมูลต่างๆเหล่านี้สามารถเป็นแนวทางช่วยให้อธิบายแนวโน้มของหลักสูตรได้ |
วางแผน
กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งด้านวิทยาการสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based Economy) และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้แต่ละประเทศไม่สามารถปิดตัวอยู่โดยลำพังจะต้องร่วมมือและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันการดำรงชีวิตของคนในแต่ละประเทศมีการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันมากขึ้นมีความร่วมมือในการปฏิบัติภารกิจและแก้ปัญหาต่างๆร่วมกันมากขึ้นในขณะเดียวกันสังคมโลกในยุคปัจจุบันก็เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารทำให้คนต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะและมีการตัดสินใจที่รวดเร็วเพื่อให้ทันกับเหตุการณ์ในสังคมที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้นสิ่งเหล่านี้นำไปสู่สภาวการณ์ของการแข่งขันทางเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้หลายประเทศต้องปฏิรูปการศึกษา
คุณภาพของการจัดการศึกษาจึงเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญประการหนึ่งสำหรับความพร้อมในการเข้าสู่ศตวรรษที่
21 และศักยภาพในการแข่งขันในเวทีโลกของแต่ละประเทศดังนั้นประเทศที่จะอยู่รอดได้หรือคงความได้เปรียบก็คือประเทศที่มีอำนาจทางความรู้และเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
(Learning Society)
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติได้ผลักดันให้มีการปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มศักยภาพการจัดการศึกษาไทยให้พร้อมสำหรับการแข่งขันในเวทีโลกในยุคศตวรรษที่ 21 ดังนี้
1. โรงเรียนเป็นหน่วยบริการทางการศึกษาในมิติที่กว้างขึ้นเพราะในปัจจุบันสังคมโลกเป็นสังคมที่ไร้พรมแดนที่มีการติดต่อประสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆมากขึ้นอีกทั้งการก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนในปีพ.ศ. 2558 จะมีผลต่อการเปิดเสรีทางการศึกษาซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันในการจัดการศึกษาของสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศดังนั้นในอนาคตโรงเรียนแต่ละแห่งจะต้องมีการแข่งขันด้านคุณภาพมากขึ้นโรงเรียนในประเทศไทยเองจำเป็นต้องพัฒนาให้เป็นหน่วยบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพเพื่อรองรับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีทางการศึกษา
2. หลักสูตรการเรียนการสอนมีความเป็นสากลเนื่องจากยุคโลกาภิวัตน์มีการเชื่อมโยงด้านการค้าและการลงทุนทำให้ตลาดแรงงานในอนาคตต้องการคนที่มีศักยภาพในหลายด้านรวมทั้งความสามารถด้านภาษาต่างประเทศการคิดวิเคราะห์การสื่อสารคุณลักษณะในการเป็นพลโลกการจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนจึงต้องปรับให้มีความเป็นสากลมากขึ้นนอกจากนี้การเปิดเสรีทางการศึกษาทำให้สถาบันการศึกษาจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนด้านจัดการศึกษาในประเทศไทยโรงเรียนควรหาภาคีเครือข่ายในการจัดหลักสูตรนานาชาติหลักสูตรสมทบหรือหลักสูตรร่วมกับสถาบันต่างประเทศเพื่อความเป็นสากลของการศึกษา
3. การพัฒนาทักษะการคิดสภาพสังคมโลกที่มีการแข่งขันสูงทำให้การจัดการศึกษาจำเป็นต้องเน้นการพัฒนาทักษะเป็นสำคัญในปัจจุบันโรงเรียนยังไม่สามารถพัฒนาทักษะการคิดของผู้เรียนได้เท่าที่ควรเนื่องจากการเรียนการสอนยังเน้นให้ผู้เรียนคิดตามสิ่งที่ผู้สอนป้อนความรู้มากกว่าการคิดสิ่งใหม่ๆจึงควรมีการปรับรูปแบบกระบวนการจัดการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดให้มากยิ่งขึ้น
4. การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมแนวคิดของทุนนิยมที่มุ่งการแข่งขันนั้นมีอิทธิพลทำให้การจัดการศึกษาของโรงเรียนส่วนใหญ่เน้นและให้ความสำคัญการพัฒนาความรู้ความสามารถเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจนอาจละเลยการพัฒนาส่งเสริมด้านคุณธรรมจริยธรรมซึ่งจะส่งผลต่อปัญหาทางสังคมตามมาดังนั้นปรัชญาการจัดการศึกษาจึงต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคคลในองค์รวมทั้งมิติของความรู้และคุณธรรมคู่กันเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและประชาคมโลกอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
5. การสอนภาษาต่างประเทศในยุคโลกไร้พรมแดนนั้นผู้มีความรู้ด้านภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาที่ใช้สื่อสารกันอย่างกว้างขวางเช่นภาษาอังกฤษหรือภาษาจีนย่อมมีความได้เปรียบในการติดต่อสื่อสารการเจรจาต่อรองในเรื่องต่างๆตลอดจนการประกอบอาชีพการจัดการเรียนการสอนจึงควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีโอกาสพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศด้วย
จากแนวคิดดังกล่าวข้างต้นกระทรวงศึกษาธิการจึงมีการทบทวนและปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานและได้ประกาศใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เพื่อเป็นกรอบทิศทางในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษที่
21 โดยมุ่งส่งเสริมผู้เรียนให้มีคุณธรรมรักความเป็นไทยให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์สร้างสรรค์มีทักษะด้านเทคโนโลยีสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมโลกได้อย่างสันติอันจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน
โรงเรียนมาตรฐานสากล (World – class standard school)จึงเป็นนวัตกรรมการจัดการศึกษาที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานนำมาใช้เป็นมาตรการเร่งด่วนในการยกระดับการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐานเทียบเท่าสากลซึ่งเริ่มดำเนินการกับโรงเรียนนำร่องจำนวน 500 โรงเรียนทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในปีการศึกษา
2553 ด้วยการให้โรงเรียนในโครงการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนบรรลุคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช
2551 และเพิ่มเติมสาระการเรียนรู้ความเป็นสากลได้แก่ทฤษฎีความรู้ความเรียงขั้นสูงโลกศึกษาและจัดกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนในการพัฒนาทักษะให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
โรงเรียนมาตรฐานสากล ( World - class standard school) จึงเป็นโรงเรียนที่จะต้องพัฒนาหลักสูตรและจัดการเรียนการสอนอย่างมีคุณภาพเทียบเคียงมาตรฐานสากลรวมทั้งมีการบริหารจัดการด้วยระบบคุณภาพเพื่อให้ได้ผู้เรียนที่มีคุณภาพคือเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและคุณลักษณะ
(Learner Profile) เทียบเคียงมาตรฐานสากล (World class
standard) และมีศักยภาพเป็นพลโลก (World citizen) สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช
2551 ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพเยาวชนสำหรับยุคศตวรรษที่ 21 อีกทั้งเป็นไปตามปฏิญญาว่าด้วยการจัดการศึกษาของ UNESCO คือ Learning to know, Learning to do, Learning to live with the
others, Learning to be
การจัดการศึกษาในโรงเรียนมาตรฐานสากลจะต้องมีจุดมุ่งหมายและทิศทางที่ชัดเจนคือ
1) พัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพเป็นพลโลก
(World Citizen)สร้างวิถีแห่งการรู้แจ้งสร้างแรงกระตุ้นใหม่ๆให้ผู้เรียนเกิดความมุ่งมั่นรักและเพลิดเพลินในการแสวงหาความรู้สามารถวิเคราะห์และสรุปองค์ความรู้มีความสามารถในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพและมีจิตสาธารณะและสำนึกในการบริการสังคม
2) ยกระดับการจัดการเรียนการสอนเทียบเคียงมาตรฐานสากล (World-Class
Standard)โดยคำนึงถึงความหลากหลายของผู้เรียนซึ่งมีภูมิปัญญาความสามารถและความถนัดแตกต่างกันมีการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมในการเพิ่มพูนศักยภาพของผู้เรียนส่งเสริมพหุปัญญาของเด็กบนพื้นฐานของความเข้าใจรู้ใจและมีการใช้กระบวนการคัดกรองในระบบดูแลช่วยเหลือผู้เรียนเป็นรายบุคคลเพื่อให้สามารถพัฒนาไปสู่จุดสูงสุดแห่งศักยภาพ
3) ยกระดับการบริหารจัดการด้วยคุณภาพ
(Quality System Management)พัฒนาศักยภาพขององค์กรให้ได้มาตรฐานสากลสอดคล้องเหมาะสมกับบริบทของตัวเองสามารถระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆและศึกษาแนวทางจากแบบอย่างความสำเร็จที่หลากหลายเพื่อปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมรวมทั้งมีการสร้างเครือข่ายในการจัดการศึกษาในทุกระดับซึ่งอาจเริ่มต้นจากการประสานความร่วมมือในชุมชนท้องถิ่นไปสู่ภูมิภาคจนกระทั่งถึงเครือข่ายระดับชาติและนานาชาติในที่สุดทั้งนี้เพราะคุณภาพของเยาวชนคืออนาคตของชุมชนความหวังของชาติและของมวลมนุษยชาติ
ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 จึงมีความสอดคล้องกับสี่เสาหลักทางการศึกษาซึ่งมีหลักสำคัญ
4 ประการตามคำอธิบายของคณะกรรมาธิการนานาชาติว่าด้วยการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ซึ่งได้เสนอรายงานเรื่อง
Learning : The Treasure Within ต่อองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(UNESCO) เมื่อค.ศ. 1995
ว่าการศึกษาตลอดชีวิตมีหลักสำคัญ 4 ประการได้แก่การเรียนเพื่อรู้
(Learning to Know) การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริง
(Learning to Do) การเรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกัน (Learning
to Live Together) และการเรียนรู้เพื่อชีวิต (Learning to
Be)
1.
การเรียนเพื่อรู้คือการเรียนที่ผสมผสานความรู้ทั่วไปกับความรู้ใหม่ในเรื่องต่างๆอย่างละเอียดลึกซึ้งการเรียนเพื่อรู้หมายรวมถึงการฝึกฝนวิธีเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิต
2.
การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริงคือการเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆและปฏิบัติงานได้เป็นการเรียนรู้โดยอาศัยประสบการณ์ต่างๆทางสังคมและในการประกอบอาชีพซึ่งอาจเป็นการเรียนรู้นอกระบบโรงเรียนทั้งนี้สืบเนื่องจากสภาพในท้องถิ่นหรือประเทศนั้นๆหรืออาจเป็นการเรียนรู้ในระบบโรงเรียนโดยใช้หลักสูตรซึ่งประกอบด้วยการเรียนในภาคทฤษฎีสลับกับการฝึกปฏิบัติงาน
3.
การเรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกันคือการเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลเข้าใจผู้อื่นและตระหนักดีว่ามนุษย์เราจะต้องพึ่งพาอาศัยกันดำเนินโครงการร่วมกันและเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่างๆโดยตระหนักในความแตกต่างหลากหลายความเข้าใจอันดีต่อกันและสันติภาพว่าเป็นสิ่งล้ำค่าคู่ควรแก่การหวงแหน
4.
การเรียนรู้เพื่อชีวิตคือการเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลสามารถปรับปรุงบุคลิกภาพของตนได้ดีขึ้นดำเนินงานต่างๆโดยอิสระยิ่งขึ้นมีดุลยพินิจและความรับผิดชอบต่อตนเองมากขึ้นการจัดการศึกษาต้องไม่ละเลยศักยภาพในด้านใดด้านหนึ่งของบุคคลเช่นความจำการใช้เหตุผลความซาบซึ้งในสุนทรียภาพสมรรถนะทางร่างกายทักษะในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น
ในศตวรรษที่ 21จึงถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าท้ายความสามารถของมนุษยชาติ เพราะเป็นยุคที่โลกต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและข้อมูลข่าวสารทุกอย่างก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงรอบตัวเราอีกต่อไปแค่เพียงคลิกที่ปลายนิ้ว
เราก็สามารถก้าวข้ามพรมแดนไปได้ทุกซอกทุกมุมโลก
ซึ่งแวดวงทางการศึกษาทั่วโลกต่างก้าวพ้นรูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้ครูเป็นศูนย์กลาง
มาเป็นการเรียนรู้ในแบบกระบวนทัศน์ใหม่ เรียกได้ว่าเป็นการจัดการศึกษายุคฐานแห่งเทคโนโลยี หรือ Technology
Based Paradigm ในขณะที่ประเทศไทยได้เล็งเห็นความสำคัญและมุมมองของการเตรียมเด็กไทยสู่ศตวรรษที่
21 ในประเด็นดังต่อไปนี้
คุณลักษณะของเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 ควรมีคุณลักษณะที่สำคัญ 3
ประการคือ
ประการแรก
คือ มีทักษะที่หลากหลาย เช่น สามารถทำงานร่วมกับคนเยอะ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว รับผิดชอบงานได้ด้วยตนเอง และรู้จักพลิกแพลงกระบวนการแก้ไขปัญหาได้
ประการที่สอง คือ
มองโลกใบนี้เป็นโลกใบเล็ก ๆไม่ได้จำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะประเทศไทย
เพื่อมองหาโอกาสใหม่ ๆที่มีอยู่อย่างมากมาย
ประการสุดท้าย คือ เด็กไทยยุคใหม่ต้องมีทักษะด้านภาษา
เพราะหากพูดหรือใช้แต่ภาษาไทยก็เหมือนกับมี "กะลา"มาครอบไว้
การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ครูจะต้องปรับแนวทางการเรียนการสอน
(pedagogy) โดยครูจะต้องทำให้เด็กรักที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิตและมีเป้าหมายในการสอนที่จะทำให้เด็กมีทักษะชีวิต
ทักษะการคิด
และทักษะด้านไอทีซึ่งไอทีในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ใช้คอมพิวเตอร์เป็นหรือใช้ไอแพดเป็นแต่หมายถึงการที่เด็กรู้ว่า
เมื่อเขาอยากรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งเขาจะไปตามหาข้อมูล
(data) เหล่านั้นได้ที่ไหนและเมื่อได้ข้อมูลมาเด็กต้องวิเคราะห์ได้ว่าข้อมูลเหล่านั้นมีความน่าเชื่อถือเพียงใดและสามารถแปลงข้อมูลเป็นความรู้
(knowledge) ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องเกิดจากการฝึกฝนครูจะต้องให้เด็กได้มีโอกาสทดลองด้วยตนเอง
ดังนั้นเองการจัดการเรียนการสอนของครูในศตวรรษที่ 21 จึงต้องสอดคล้องกับหลักการของทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21
ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีทักษะที่สำคัญและสามารใช้ชีวิตในสังคมศตวรรษที่ 21
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประกอบไปด้วย 3Rs + 7Cs
3Rs ประกอบไปด้วย
Reading (อ่านออก)
(W) Riting (เขียนได้)
(A)Rithmetics (คิดเลขเป็น)
7Cs ประกอบไปด้วย
1.
Critical
thinking&problem solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
และทักษะในการแก้ปัญหา)
2.
Creativity&innovation
(ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม)
3.
Cross-cultural
understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์)
4.
Collaboration,
teamwork&leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม
และภาวะผู้นำ)
5.
Communications,
information&media literacy (ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ
และรู้เท่าทันสื่อ)
6.
Computing&ICT
literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
7.
Career&learning
skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)
ดังนั้นทักษะในศตวรรษที่ 21 นี้ก็คือการต้องเตรียมคนออกไปเป็น knowledge workerการศึกษาในศตวรรษที่
21 ต้องเตรียมคนออกไปเป็นคนทำงานที่ใช้ความรู้ (knowledge worker) และเป็นบุคคลพร้อมเรียนรู้ (learning person) ไม่ว่าจะประกอบ
สัมมาชีพใด มนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ต้องเป็นบุคคลพร้อมเรียนรู้ และเป็น
คนทำงานที่ใช้ความรู้
แม้จะเป็นชาวนาหรือเกษตรกรก็ต้องเป็นคนที่พร้อมเรียนรู้
และเป็นคนทำงานที่ใช้ความรู้ ดังนั้น ทักษะสำคัญที่สุดของศตวรรษ ที่ 21 จึงเป็นทักษะของการเรียนรู้ (learning skills) ตลอดชีวิต
การจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 จึงส่งผลต่อการจัดการศึกษาที่อยู่ภายใต้กระแสประชาคมอาเซียน
(ASEAN Community) ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในกลุ่มของประเทศสมาชิกอาเซียนที่ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี
2558 โดยต้องส่งเสริมให้คนในประเทศมีความรู้ความเข้าใจที่ดีต่อภูมิหลังทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้านเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีและเตรียมความพร้อมในการแข่งขันในตลาดเสรีที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งนี้ระบบการศึกษาของไทยต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบรับต่อการเป็นประชาคมอาเซียนโดยเน้นปลูกฝังจิตสำนึกความเป็นเอกภาพของอาเซียนแก่เยาวชนให้เกิดความสามัคคีและร่วมสร้างความแข็งแกร่งให้กับประชาคมอาเซียน
การศึกษานับว่ามีบทบาทสำคัญและเป็นแกนหลักแห่งการสร้างประชาคมอาเซียนใน 3 เสาหลักแห่งการพัฒนาคือ
1) ด้านการเมืองและความมั่นคง 2) ด้านเศรษฐกิจและ3)
ด้านสังคมและวัฒนธรรมการขับเคลื่อนด้านการศึกษาจึงเป็นพื้นฐานสำคัญแห่งการพัฒนาสู่การเป็นประชาคมอาเซียนอย่างแท้จริงโดยการบูรณาการการเรียนรู้เพื่อสร้างและพัฒนาเด็กเยาวชนและประชาชนให้มีความรู้ความสามารถมีทักษะและมีเจตคติที่เหมาะสมกับการเป็นสมาชิกของประชาคมอาเซียน
โดยเฉพาะการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับอาเซียนกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดบทบาทการดำเนินงานด้านการต่างประเทศเชิงรุก
โดยเน้นการกระชับความสัมพันธ์และการขยายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน
และในภูมิภาคเอเชียภายใต้กรอบความร่วมมือด้านต่างๆ โดยเฉพาะกรอบความร่วมมือด้านการศึกษาและได้กำหนดนโยบายการขับเคลื่อนการศึกษาในอาเซียนสู่เป้าหมายการจัดตั้งประชาคมอาเซียนในปีพ.ศ. 2558 ดังนโยบายต่อไปนี้
นโยบายที่1 การเผยแพร่ความรู้ข้อมูลข่าวสารและเจตนคติที่ดีเกี่ยวกับอาเซียนเพื่อเสริมสร้างความตระหนักเกี่ยวกับอาเซียนอัตลักษณ์อาเซียน
และเตรียมความพร้อมของครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษานักเรียน นักศึกษาและประชาชนเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนภายในปี พ.ศ. 2558
นโยบายที่
2 การพัฒนาศักยภาพของนักเรียน และประชาชนให้มีทักษะที่เหมาะเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
นโยบายที่ 3 การพัฒนามาตรฐานการศึกษาเพื่อส่งเสริมการหมุนเวียนของนักศึกษาและครูอาจารย์ในอาเซียน
นโยบายที่ 4 การเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดเสรีการศึกษาในอาเซียนเพื่อรองรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
นโยบาย 5 การพัฒนาเยาวชนเพื่อเป็นทรัพยากรสำคัญในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
เนื่องจากการศึกษาเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทยและภูมิภาคในความร่วมมือด้านการศึกษาอาเซียนความร่วมมือดังกล่าวเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาของประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งประกอบด้วยการปรับปรุงในเชิงปริมาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายโอกาสทางการศึกษาการยกระดับคุณภาพการศึกษา การนำโครงสร้างพื้นฐาน
สิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีการสื่อสารเข้ามารองรับ
ตลอดจนการบริหารจัดการทางการศึกษา
ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้เร่งพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยให้รู้จักวัฒนธรรม สังคม ความเป็นอยู่ของเพื่อนอีก 9 ประเทศ ที่จะสามารถก้าวสู่ประชาคมอาเซียนอย่างมั่นใจ โดยการดำเนินโครงการพัฒนาประชาคมสู่อาเซียน (Spirit of
ASEAN) เพื่อรองรับการรวมกลุ่มของประเทศอาเซียนในปี 2558 เช่น โรงเรียน Buffer
School เป็นโรงเรียนที่อยู่ติดชายแดนกับประเทศสมาชิกอาเซียน 4 ประเทศ ได้แก่ ลาวพม่า กัมพูชา และมาเลเซีย โรงเรียน Sister
School เป็นโรงเรียนที่มีความพร้อมมีความเข้มแข็งทั้งในเรื่องของภาษาและ ICT ที่อยู่ในพื้นที่อื่น ๆที่ไม่ติดชายแดน แต่มีประสานสัมพันธ์กับอาเซียน 5 ประเทศ ได้แก่ เวียดนามสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และบรูไนเป็นต้น
การจัดการศึกษาปฐมวัยเพื่อเตรียมเด็กสู่ประชาคมอาเซียนนั้นจึงจำเป็นต้องเน้นการบูรณาการสู่การศึกษาอย่างครอบคลุมทั้ง๓ด้านเพื่อให้สอดคล้องกับคุณลักษณะของเด็กไทยในประชาคมอาเซียนตามนโยบายการศึกษาชาติว่าด้วยเรื่องการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 กล่าวคือ
คุณลักษณะเด็กไทยในประชาคมอาเซียน
คุณลักษณะของเด็กไทยในประชาคมอาเซียนกำหนดคุณลักษณะ 3 ด้าน ดังนี้
1. ด้านความรู้
คุณลักษณะของเด็กไทยในประชาคมอาเซียนกำหนดคุณลักษณะ 3 ด้าน ดังนี้
1. ด้านความรู้
1.1 มีความรู้เกี่ยวกับประเทศอาเซียนในด้านการเมือง
เศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม
1.2 มีความรู้เกี่ยวกับอาเซียน
1.2.1 จุดกำเนิดอาเซียน
1.2.2 กฎบัตรอาเซียน
1.2.3 ประชาคมอาเซียน
1.2.4 ความสัมพันธ์กับภายนอกอาเซียน
1.2.2 กฎบัตรอาเซียน
1.2.3 ประชาคมอาเซียน
1.2.4 ความสัมพันธ์กับภายนอกอาเซียน
2. ด้านทักษะ/กระบวนการ
2.1 ทักษะพื้นฐาน
2.1.1 สื่อสารได้อย่างน้อย 2 ภาษา (ภาษาอังกฤษ และภาษาประเทศเพื่อนบ้านอีกอย่างน้อย 1 ภาษา)
2.1.2 มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างสร้างสรรค์
2.1.3 มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี
2.1.4 มีความสามารถในการทางานและอยู่ร่วมกับผู้อื่น
2.2 ทักษะพลเมือง/ความรับผิดชอบทางสังคม
2.2.1 เคารพและยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม
2.2.2 มีภาวะผู้นำ
2.2.3 เห็นปัญหาสังคมและลงมือทำเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
2.3 ทักษะการเรียนรู้และพัฒนาตน
2.3.1 เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน
2.3.2 มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนเรียนรู้
2.3.3 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลมีวิธีคิดอย่างถูกต้อง
2.3.4 มีความสามารถในการจัดการ /ควบคุมตนเอง
3. ด้านเจตคติ
3.1 มีความภูมิใจในความเป็นไทย/ ความเป็นอาเซียน
3.2 ร่วมกันรับผิดชอบต่อประชาคมอาเซียน
3.3 มีความตระหนักในความเป็นอาเซียน
3.4 มีวิถีชีวิตประชาธิปไตยยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล สันติวิธี /สันติธรรม
3.5 ยอมรับความแตกต่างในการนับถือศาสนา
3.6 ดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2.1.1 สื่อสารได้อย่างน้อย 2 ภาษา (ภาษาอังกฤษ และภาษาประเทศเพื่อนบ้านอีกอย่างน้อย 1 ภาษา)
2.1.2 มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างสร้างสรรค์
2.1.3 มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี
2.1.4 มีความสามารถในการทางานและอยู่ร่วมกับผู้อื่น
2.2 ทักษะพลเมือง/ความรับผิดชอบทางสังคม
2.2.1 เคารพและยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม
2.2.2 มีภาวะผู้นำ
2.2.3 เห็นปัญหาสังคมและลงมือทำเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
2.3 ทักษะการเรียนรู้และพัฒนาตน
2.3.1 เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน
2.3.2 มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนเรียนรู้
2.3.3 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลมีวิธีคิดอย่างถูกต้อง
2.3.4 มีความสามารถในการจัดการ /ควบคุมตนเอง
3. ด้านเจตคติ
3.1 มีความภูมิใจในความเป็นไทย/ ความเป็นอาเซียน
3.2 ร่วมกันรับผิดชอบต่อประชาคมอาเซียน
3.3 มีความตระหนักในความเป็นอาเซียน
3.4 มีวิถีชีวิตประชาธิปไตยยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล สันติวิธี /สันติธรรม
3.5 ยอมรับความแตกต่างในการนับถือศาสนา
3.6 ดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ดังนั้นการจัดการศึกษาปฐมวัยเพื่อให้สอดคล้องกับแนวนโยบายของชาติจึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมตามคุณลักษณะของเด็กไทยในประชาคมอาเซียนซึ่งสามารถจัดการศึกษาเพื่อบูรณาการในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยการปรับปรุงเนื้อหาหน่วยการเรียนรู้และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างเหมาะสมและการเตรียมเด็กสู่ความเป็นสากลด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารรวมทั้งการเตรียมความพร้อมทักษะด้านต่างๆเพื่อการเรียนรู้และดำรงชีวิตท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประชาคมอาเซียนนอกจากนี้แล้วการสร้างความเข้าใจต่อตนเองต่อวัฒนธรรมความสามัคคีและความเป็นคนไทยรวมถึงการถ่ายทอดวัฒนธรรมอันดีงามสู่ประชาคมอาเซียนและคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของชาติก็มีความสำคัญเช่นเดียวกันดังนั้นเด็กปฐมวัยจึงควรได้รับประสบการณ์การเรียนรู้การพัฒนาทักษะที่จำเป็นและได้รับการเสริมสร้างเจตคติที่ดีตั้งแต่ยังเล็กเพื่อการเป็นสมาชิกในกลุ่มประเทศอาเซียนอย่างเหมาะสมและคงคุณค่าเอกลักษณ์และความเป็นชาติไทยให้ยั่งยืนสืบไปจึงจะนับว่าเด็กไทยมีความสมบูรณ์พร้อมในทุกด้านของชีวิตทั้งมิติทางร่างกายจิตใจและปัญญา
จากความสำคัญของการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนย่อมส่งผลต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัยดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โรงเรียนวัดดอนยายหอม (หลวงพ่อเงินอุปถัมภ์)
จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
โรงเรียนจึงมีการเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนตั้งแต่ปี 2555 และเริ่มจริงจังในปีการศึกษา 2556 โดยเริ่มที่การพัฒนาด้านภาษาเป็นอันดับแรกคือ
ภาษาอังกฤษมีการสอนภาษาอังกฤษโดยให้ครูต่างประเทศ ซึ่งเป็นเจ้าของภาษาเป็นผู้สอนและมีครูชาวไทยเป็นผู้ช่วยโดยเพิ่มการเรียนรู้กับครูภาษาอังกฤษเป็น
2 วันต่อสัปดาห์ และเรียนรู้กับครูต่างประเทศสัปดาห์ละ 1
วัน
นอกจากนั้นในช่วงเช้ายังได้ทำกิจกรรมพิเศษที่ช่วยส่งเสริมทักษะทางภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนปฐมวัยอีก
สัปดาห์ละ 2 วัน
ในทุกห้องเรียนพร้อมทั้งมีการพัฒนาครูบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนรวมทั้งมีการจัดบรรยากาศของโรงเรียนให้เป็นแหล่งเรียนรู้อาเซียนศึกษาจัดมุมประสบการณ์ในห้องเรียนที่เป็นความรู้เกี่ยวกับอาเซียน เพื่อให้เด็กปฐมวัยได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบริบทสังคมอาเซียน
มีการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้เกิดความพร้อมทั้งด้านร่างกาย อารมณ์
สังคม และสติปัญญา
เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้นักเรียนปฐมวัยเพื่อเรียนรู้ความเป็นสังคมอาเซียนอีกทั้งยังส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดพลังขับเคลื่อนการเรียนรู้สู่ประชาคมอาเซียนในทุกภาคส่วนโดยมีการประชาสัมพันธ์ให้แก่ผู้ปกครองชุมชนได้ทราบถึงความสำคัญในการเตรียมพร้อมของนักเรียนผู้ปกครองชุมชนในการสู่ประชาคมอาเซียนอีกด้วยจากหลักการ แนวคิดความจำเป็นทั้งหมดที่ผู้จัดทำหลักสูตรได้กล่าวถึง จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนา“หลักสูตรเสริมความรู้อาเซียนศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย”
ขึ้นเพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการศึกษาของประเทศชาติต่อไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
-
หลักสูตรประสบการณ์ หลักสูตรกิจกรรมหรือประสบการณ์ (Activity or Experience Curriculum) เป็นหลักสูตรที่เกิดขึ้นเพื่อ...
-
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สืบเนื่...
-
ทักษะของคนในศตวรรษที่ 21 ที่เขียนโดย ศ. น.พ.วิจารณ์ พานิช ได้กล่าวว่า การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่คนทุกคนต้องเรียนรู้ตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจ...